เทศน์เช้า วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม.. ธรรมะนี่เขาว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ
ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติต้องหัวใจผู้ที่มีคุณธรรม ถ้าหัวใจผู้ที่มีคุณธรรม มันเห็นแล้วมันสลดสังเวชไง ความเห็น การมองสัจธรรมนี่มันจะย้อนดูตัว เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโมฆราช
เธอจงมองดูโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ
ให้มองโลกนี้สักแต่ว่า คำว่าสักแต่ว่ามันเป็นสักแต่ว่าธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เป็นสักแต่ว่าคือใจเรา ถ้าเป็นธรรมชาติ ดูสิ ชาวนานี่ต้องการน้ำมาก น้ำท่วมชาวนาก็ไม่ต้องการ มันก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำไมทำลายเขาล่ะ เวลาเขาต้องการมันก็ไม่ได้ดั่งใจ
มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจธรรม แต่ใจเรามันไม่เป็นหรอก ใจเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ชีวิตนี้เป็นสิ่งสำคัญมากนะ ดูสิ ดูพืชพันธุ์ ดูข้าวสิ เขาต้องตัดแต่งพันธุกรรม เขาต้องรักษาพันธุ์ของเขา แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เป็นพืชนะ เขายังพยายามทำของเขาเพื่อให้เป็นประโยชน์กับชาวโลก แล้วสิ่งที่มีชีวิตในหัวใจของเรา ความรู้สึกในหัวใจของเรามันจะมีคุณค่าขนาดไหน
คุณค่าของสิ่งที่มีชีวิตมันมีคุณค่ามาก แม้แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารเขายังต้องเอามาดัดแปลง เขาต้องปรับปรุงพันธุ์ตลอดเวลา เพื่อให้ได้ประโยชน์กับการดำรงชีวิตใช่ไหม แล้วสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง วิทยาศาสตร์เขายังพยายามรักษามัน พยายามพัฒนามัน แล้วเราเป็นมนุษย์ เรามีหัวใจของเราด้วย เราเกิดเป็นคนด้วย สิ่งที่มีคุณค่าขนาดนี้ทำไมเราไม่รู้จักล่ะ เราไปหาแต่ศักยภาพจากข้างนอกกัน
โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีชื่อเสียงศักดิ์ศรีดีงามแสวงหากันมา แล้วก็ทุกข์นะ มันบีบบี้สีไฟในหัวใจของเรานะ มนุษย์ต้องการการยอมรับ มนุษย์นี่ต้องการนั่งบนหัวของคนอื่นนะ แม้แต่ตัวของตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย แต่อยากจะไปนั่งบนหัวของคนอื่น ต้องการการยอมรับ ต้องการให้ทุกคนเชื่อถือศรัทธาเรา นี่ไงสิ่งนี้เป็นอะไร สิ่งนี้เราแสวงหาเพื่อมาปรนเปรอมันใช่ไหม แสวงหามาเพื่อให้เขายอมรับเรา เพื่อให้เขายอมจำนนกับเรา นี่ไงมันไปหาข้างนอก แล้วตัวมันล่ะ ตัวของมันอยู่ไหน
ธรรมะอยู่ตรงนี้ ธรรมะย้อนกลับมาที่เรา เห็นไหม ในสงครามชนะสงครามคูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรมหมดเลย การชนะตนเองประเสริฐที่สุด แต่การชนะตนเองไปชนะที่ไหน ไปชนะที่ความคิดเหรอ ปล่อยโล่งๆ ว่างๆ ก็สบายๆ อย่างนั้นเหรอ แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิด คนไม่เคยเห็นจิตของตัวเอง ถ้าใครเคยเห็นจิตของตัวเองนะมันจะไม่พูดอย่างที่โลกเขาคุยกัน โลกกับธรรม!
เขาบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ
จิตใจนี่จริงๆ ตัวจิตจริงๆ มันก็เป็นธรรมชาติ เพราะมันแปรปรวนไปในวัฏฏะ ธรรมชาติคือวัฏฏะนะ วัฏฏะคือการเวียนไป จิตมันก็เวียนไปธรรมชาติของมัน แล้วถ้ามันเป็นธรรมชาติมันก็ได้แค่นั้นเองเหรอ สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา เห็นไหม
อัตตาไม่ใช่ธรรม อัตตานี่เป็นกิเลสของเรา อนัตตาคือสิ่งที่มันเป็นความจริงอยู่ แต่ในสัจธรรมอันนี้ไม่มีใครไปรู้แจ้งมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมา มันก็เป็นธรรมชาติ เป็นทฤษฏีอันหนึ่ง.. แต่เราไปศึกษาทฤษฏีอันนั้นแล้วเรารู้ทฤษฏีอันนั้นจริงไหม เราเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเราเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงอันนั้นเราก็ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมต้องเป็นอนัตตา ต้องแปรสภาพ
แปรสภาพมันก็เวียนตายเวียนเกิดไง ศึกษาธรรมแล้วมันต้องให้ได้หลักได้เกณฑ์ ถ้าไม่ได้หลักไม่ได้เกณฑ์เราจะเวียนไปตามมัน นี่กิเลสไง คำว่ากิเลสนะมันหลอก แต่ไม่ได้หลอกคนอื่นเลยมันหลอกเรา หลอกตัวเองนี่แหละ ตัวเองโดนหลอกด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นความปลอมของเรา เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันตีความ แล้วมันคาดหมาย มันต้องการให้เป็นไปตามนั้น แต่มันไม่เป็น! มันไม่เป็น เพราะมันเข้าไม่ถึงความเป็นจริง
นี่เวลาในสิ่งที่มีชีวิต เห็นไหม เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเป็นผู้ตัดแต่งพันธุกรรม เราเป็นผู้รักษาเพื่อการพัฒนา เราไปตัดแต่งพัฒนามัน เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันพัฒนาตัวมันเองอยู่โดยธรรมชาติของมันแล้ว มันปรับแต่งตัวมันเอง ดูสิ เวลาเกสรพืชพันธุ์ธัญญาหาร เกสรมันผสมกันมันกลายพันธุ์ มันปรับปรุงพันธุ์ของมันโดยธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็ปรับปรุงพันธุ์ของมันอยู่แล้ว
แล้วมนุษย์เราเป็นสิ่งที่มีชีวิต เราควบคุมได้ วิทยาศาสตร์เราเข้าไปตัดแต่งพันธุกรรมของมัน แต่ใจเรา กิเลสกับใจมันตัดแต่งกันตลอดเวลา แล้วธรรมะเข้าไปนี่เราจะไปตัดแต่งพันธุ์มัน ธรรมะเข้าไปยับยั้งมัน ดูสิ ยับยั้งว่าหาโอกาสเราจะผสมอย่างไร ยีนส์เราจะผสมอย่างไร ทุกอย่างเราจะทำอย่างไร
นี่พันธุกรรมทางจิต! เราทำคุณงามความดีนี่มันตกผลึกลงที่ใจ สิ่งที่เป็นคุณงามความดีนี่ไงตัวภพ ตัวภพมันเป็นตัวเก็บข้อมูล ตัวภพคือตัวฐีติจิต ไม่มีใครเคยเห็นหรอก ที่พูดๆ ไปนี่ปากเปียกปากแฉะ ถ้ามันเห็นความจริงจะไม่พูดกันอย่างนั้น สิ่งที่พูดกันอย่างนั้นมันเป็นทฤษฏีทั้งนั้น เป็นทฤษฏีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ทฤษฏีเจ้าแห่งคัมภีร์ คัมภีร์มันได้ประโยชน์อะไร
คัมภีร์นะถ้าเราปรับใช้กับสถานที่ การพัฒนาประเทศแต่ละประเทศ ถ้าเราใช้ทฤษฏีโดยหลักตายตัวนะ ล่มสลายกันไปหมด เขาต้องปรับแต่ง เห็นไหม แมวขาวหรือแมวดำขอให้จับหนูได้ก็ใช้ได้ แม้แต่ทฤษฏี ดูสิพรรคคอมมิวนิสต์ ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์นี่ ต้องเป็นสังคมนิยม แล้วมันไปรอดไหมล่ะ นี่ล่มสลายไปหมดเลย ทั้งสังคมนิยม ทั้งทุนนิยมไปไม่รอดหมดเลย
มันต้องธรรมาธิปไตย สัจธรรมความจริง จริงที่เข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้นนะ ดูสิ แต่ละภูมิภาค แต่ละประเทศ มันมีตัวแปร มีข้อจำกัดมหาศาลเลย ในการประพฤติปฏิบัติ ในหัวใจของคน ในความรู้สึกของคน ในรสนิยมของคน ในมุมมองของคน มันอีกหลากหลายมหาศาลนัก ไม่มีสูตรใดตายตัว สูตรตายตัวไม่มี การประพฤติปฏิบัติไม่มีสูตรตายตัว เป็นปัจจุบันธรรมของจิตดวงนั้นเท่านั้น จิตดวงนั้นที่พิจารณาของมัน สูตรตายตัวไม่มี!
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรมสาธารณะ เป็นสูตรตายตัว ครอบงำหมด แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วนะ เวลาพ้นกิเลสไปแล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใบไม้ในกำมือ แต่ความรู้จริงมันเป็นใบไม้ในป่า ใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่ามันแตกต่างหลากหลายกันอย่างไร ความรู้จริงของจิตมันยังหลากหลายมหัศจรรย์มากไปกว่านี้นะ
นี่พูดถึงสิ่งที่มีชีวิตไง เราเห็นญาติโยมมาหรอก เห็นไหม นี่เรามาแสวงหา โยมก็แสวงหา ดูสิ การศึกษานี่ค้นคว้าตำรากันมหาศาลเลย ต้องทำวิจัยเพื่อได้ใบกระดาษกัน แต่เข้าใจตัวเองไหม รู้จักตัวเองไหม ทุกข์ไหม เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วก็มาสร้างครอบครัว แล้วก็หามรดกไว้ให้ลูกหลานมัน แล้วก็ตายไป แล้วก็จะเกิดมาใหม่
ตัวเองยังไม่ค้นคว้า นี่ธรรมะเข้ามาที่นี่.. ถ้าธรรมะเข้ามาที่นี่นะ ใช่! เราเกิดมาในโลกนะ มนุษย์คนเราจะดีที่มีการรับผิดชอบ เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา เราเกิดมาในโลกแล้วเราก็ต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิตให้ได้ เราไม่เป็นภาระของสังคม ไม่เป็นภาระใครทั้งสิ้น แต่เราเกิดในวัฏฏะนี่ธรรมชาติ แล้วสิ่งที่มันจะมีคุณธรรมเหนือกว่านั้นล่ะ สิ่งที่เราจะค้นคว้าในตัวของเราล่ะ สิ่งที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ตามความเป็นจริงล่ะ
มันเป็นความจริงจริงๆ นะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครจะคัดค้านคัดง้างอย่างไรก็แล้วแต่มันไปตามนั้นแหละ นี่ผลของวัฏฏะ ผลของการเวียนตายเวียนเกิดผลมันเป็นอย่างนี้! ใครจะคัดค้าน ใครจะโต้แย้ง นั่นเป็นความคิด แต่ความจริงมันเป็นความจริงวันยังค่ำ! ใครจะคัดค้าน ใครจะโต้แย้งอย่างไร มันเป็นเรื่องของการคัดค้านโต้แย้งจากหัวใจ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่เป็นความจริงมันเป็นความจริงอันเดียวกัน แล้วความจริงอันนี้มันอยู่ที่ไหน
ทางวิชาการ เราค้นคว้ากันสิ่งนี้เป็นทฤษฏี มันต้องทดสอบตรวจสอบใช่ไหม มันเป็นประสบการณ์จริง ประสบการณ์จริงอันนั้นมีประสบการณ์แล้วเราก็เขียนทางวิชาการ แล้วเราก็ทดสอบให้มันเกิดเป็นความจริง เห็นไหม มันพัฒนาของมันขึ้นไป
นี่ก็เหมือนกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติขึ้นไปมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป ไอ้นี่ทฤษฏีนี่ยึดมันตายตัว แล้วการทดสอบนั้นไม่เกิดขึ้น พอการทดสอบไม่เกิดขึ้นก็ว่าปรมัตถธรรมไง ก็พุทธพจน์ไง ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ทำไมต้องทดสอบอีก
นั้นเป็นการทดสอบในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ใจของเรายังไม่ได้ทดสอบนะ ใจของเรานี่ทฤษฏีจำแม่นมาก จำได้หมดเลย แต่ความทดสอบอันนั้น ดูสิ เดี๋ยวนี้ทางวิชาการของเรา พอเราศึกษามาจบแล้วเราก็มาสอนเด็ก แล้วเรามีประสบการณ์อะไรขึ้นมา วิวัฒนาการของโลกมันไปไกลขนาดไหน เห็นไหม ทางวิชาการเขาต้องมีการศึกษา มีการพัฒนาของมันตลอดเวลา
นี้พัฒนาการของโลกนะ! พัฒนาของโลกมันไม่มีวันสิ้นสุด การทำงานของโลกไม่มีวันจบ แต่การทำงานในธรรมมันจบสิ้นขบวนการ เห็นไหม ทฤษฏีสัมพันธ์.. อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง การสัมพันธ์ ทฤษฏีสัมพันธ์ของจิตนะ ที่ว่าจิตเป็นดวงๆๆ มันกี่ร้อยกี่พันดวง แล้วทฤษฏีสัมพันธ์ถ้ามันเกิดมรรคญาณที่มันทำลายจุดระเบิดของทฤษฏีสัมพันธ์อันนั้นล่ะ
ทฤษฏีสัมพันธ์มันเกิดที่ไหนมันเกิดที่นิวเคลียสใช่ไหม ที่สารกัมมันตภาพรังสีเขาเอามารวมกันใช่ไหม แล้วสิ่งที่เป็นความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่ไหน ความเป็นไปมันอยู่ที่ไหน ชีวิตมันอยู่ที่ไหน ชีวิตนี่การเกิดใครเกิดมา นั่งอยู่นี่เกิดมาจากไหน แล้วเกิดมาแล้วเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วจะกลับมาเกิดอีกใช่ไหม
สมบัติเดิมๆ นะ เวียนเกิดเวียนตายเป็นผลของวัฏฏะ การตัดแต่งพันธุกรรมของทางพืชเขาก็ตัดแต่งพันธุกรรม เห็นไหม เขาทดสอบให้มันพัฒนาการของมัน การตัดแต่งพันธุกรรมของจิตนะ เวียนตายเวียนเกิดไง เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันก็ไปตัดแต่งภพหนึ่ง เป็นนรกอเวจีมันก็ไปเกิดเชื้อร้าย พอเกิดขึ้นมาพอเวียนเป็นมนุษย์ใช่ไหม มันก็มาบากบั่นตรากตรำแล้วมันก็เวียนไปเกิดนะ
นี่พันธุกรรมมันตัดแต่งของมันไป แล้วสิ่งนี้มันไปตกลงที่ไหน มันทำสิ่งไหน แล้วปัจจุบันธรรม เห็นไหม ห้องวิทยาศาสตร์คือหัวใจของเรานี่ ทดสอบไหม จะทดสอบไหม จะแก้ไขไหม แล้วทดสอบที่นี่ ตัดแต่งที่นี่ จบขบวนการของมันที่นี่.. นี่ธรรม นี่ฟังธรรม ธรรมะแล้วพิสูจน์ได้นะ พิสูจน์ได้
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาพูดเขาบอกว่า อธิบายให้เข้าใจสิ
เราบอกว่า อธิบายให้เข้าใจได้ แต่เราต้องปฏิบัติขึ้นมาบ้างสิ ปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันมีตุ๊กตา คือมีความสัมผัส สันทิฏฐิโก ความที่สันทิฏฐิโกนี่จิตมันสัมผัส จิตมันจับต้อง พอจิตมันจับต้องเราถึงมาคุยกันตรงนี้ ว่าขบวนการของมันจะทำอย่างไรกันต่อไป
ถ้ามันไม่มีขบวนการตรงนี้ทฤษฏีมันเป็นทฤษฏี แต่ถ้ามีขบวนการของมันขึ้นมาเราเอาทฤษฏีมาเทียบ แล้วผิดหรือถูกมันมีตัวตั้ง มันมีประเด็นให้เราได้พิสูจน์กัน ถ้าพิสูจน์ตรงนี้นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนในใจ ถ้ารู้จำเพาะตนขนาดไหนนี่ ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ถ้าไม่มีธรรมเอาอะไรมาพูด สิ่งที่พูดออกมานี้มันพูดออกมาจากไหน จากตำรา ตำราพูดวันเดียวก็จบแล้ว พูดซ้ำๆ ซากๆ เวียนอยู่นั่นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก
สัญญาคือสัญญา แต่มีขบวนการความจริงขึ้นมามันไปได้ตลอด เห็นไหม มันมีชีวิต มันเปลี่ยนแปลงได้ มันจับต้องได้ มันพิสูจน์ได้ สิ่งที่พิสูจน์อันนี้เราควรพิสูจน์.. เราเกิดมานี่คำว่ามีชีวิตไง โอกาสนี่สำคัญมากนะ โอกาสคือยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็จบ ผลของวัฏฏะไง เกิดมาชาติหนึ่งแล้วก็ตายไป สูญตายแล้วไม่มีหรอก เออ.. ไม่มี คำว่าไม่มีมันเป็นความคิดตรงนี้ไง แต่พอไปเผชิญหน้า เห็นไหม นี่เราบอกว่าหนามไม่มี เศษแก้วไม่มี เหยียบขึ้นมา โอ้โฮ.. ตำเข้าไปในเท้า ถ้าไม่มีทำไมมันเจ็บล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน พอจิตไปสัมผัสนะ ความรู้สึกอันนี้มันไม่ตาย แล้วความรู้สึกอันนี้มันจะไปตกที่ไหน ผลของวัฏฏะ ความรู้สึกอันนี้มันจะไปเผชิญ พอเผชิญขึ้นมาเราจะรู้ทันหรือไม่รู้ทันนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นความจริงนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนอดีตชาติไปตลอดยาวไกลไม่มีสิ้นสุด จุตูปปาตญาณยังไปอีกข้างหน้า ไม่มีวันจบ
นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือพุทธพจน์นะ วิชชา ๓ พุทธพจน์ นี่เอาใครมาหลอก นี่พระพุทธเจ้ายืนยันไว้เอง แล้วพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้เอง แล้วถ้าใครทำได้จริงมันจะเห็นได้จริง เหมือนกัน! เหมือนกัน! ความรู้สึกเป็นความรู้สึกเหมือนกัน แต่ดีชั่ว ความรู้สึกหยาบละเอียดแตกต่างกัน แต่ความรู้สึกคือความรู้สึก
ทุกดวงใจมีความรู้สึกหมด แต่ความรู้สึกมันจะละเอียดหรือหยาบ หรือมันจะฉ้อฉล หรือมันจะมีคุณธรรม หรือจะมีจิตสาธารณะ จิตหมักหมม จิตร้อยแปด! กิเลสทั้งนั้น นี่อยู่ในใจของเรา เห็นไหม ไม่ต้องมองที่ใคร หลวงตาสอนประจำ
เรื่องของเขา! เรื่องของเขา! ดูใจเรา! ดูใจเรา! ใจของเราสำคัญที่สุด
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หัวใจของเราเอาให้ได้ก่อน เรื่องของเขา! เขาจะทำดีทำชั่วขนาดไหน เราไม่ได้ผลดีผลชั่วกับเขาเลย ไม่มี! เรื่องของเรา หัวใจของเรานี่ พุทโธ พุทโธ นั่งกำหนด ทำสมาธิของเรานี่เรื่องของเรา คุณงามความดีของเรามันอยู่ในหัวใจของเรา นั่นเรื่องของเขา
แต่เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม สัตว์สังคมใช่ไหม สัตว์การเมืองใช่ไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเรารักษาใจเรา เราจะเจอวิบาก เจอผลดีและผลกรรมต่างๆ แล้วแล้วไป ตั้งสติไว้ ตั้งชีวิตไว้แล้วสู้กับมัน อะไรจะเกิดขึ้นมานะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจอวิบากมากกว่าเรานัก เราตั้งสติของเราแล้วแก้ไขวิกฤติในชีวิตของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เราเป็นสัตว์สังคมไง ไม่ใช่ว่าเกิดมาจะปฏิเสธโลกหมด เราอยู่กับโลกนะ ถ้าปฏิเสธโลกหมดนี่บิณฑบาตมาทำไม นี่บิณฑบาตมากับโลก ขอโลกเขาอยู่ แล้วบิณฑบาตมาเพื่อดำรงชีวิตไง
นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับโลกนั่นคือชีวิตปัจจุบันของเรา แล้วธรรมะจะเลี้ยงหัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นวัตถุนะ สิ่งที่เป็นแร่ธาตุมันยังบุบสลาย มันยังเสื่อมสภาพ หัวใจของเรามันเป็นนามธรรม แต่มันมั่นคงยิ่งกว่าแร่ธาตุ.. ธาตุรู้นี่ เพราะมันเป็นนามธรรม แต่มันไม่เคยตาย มันบุบสลายไม่ได้ มันจะอยู่ของมันสภาวะแบบนั้น มันจะอยู่อย่างนั้น
ถึงที่สุดแล้วนะ ถ้าสิ้นกิเลสแล้วมันก็มีของมันอย่างนั้น เป็นธรรมธาตุ เป็นสมบัติของเรามากับเรา แล้วเราเป็นผู้รักษามัน เป็นผู้ดูแลมัน แต่เราไม่ถนอมรักษามันไป นี่เราเองเราโง่กับตัวเราเอง ฉลาดกับคนอื่นทุกๆ คนเลย แต่โง่กับกิเลสของตัวเอง โง่กับตัวเอง เห็นไหม ถ้าฉลาดกับตัวเองมันจะได้ประโยชน์ตรงนี้
ฉลาดกับตัวเองไง เอาความคิดนี่ยับยั้งเราให้ได้ เอาความคิด เอาความต้องการ เอาความทะยานอยากนี่อยู่ในอำนาจของเราให้ได้ แล้วพิจารณามันได้ แล้วทำมันได้ สิ้นสุดได้ ขบวนการนี้มันสิ้นสุดได้ ทดสอบได้.. ผลประโยชน์ของเรานะ ผลประโยชน์ชีวิตของเราตั้งสติมาแล้วเอาเพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง